ในทศวรรษที่ผ่านมา ความก้าวหน้าอย่างรวดเร็วของเทคโนโลยีได้เปลี่ยนแปลงอุตสาหกรรมต่างๆ ซึ่งรวมไปถึงการ ‘รังวัดที่ดิน’ ด้วยเช่นกัน วิธีการสำรวจและรวบรวมข้อมูลด้วยวิธีแบบดั้งเดิมนั้น กำลังถูกท้าทายด้วยแนวทางใหม่ปฏิวัติวงการซึ่งนั่นคือการสำรวจด้วยโดรน ปัจจุบันเทคโนโลยีโดรนครอบคลุมถึงการติดตั้งเซ็นเซอร์และกล้องขั้นสูงเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการจัดเก็บข้อมูลให้มีความแม่นยำและมีรายละเอียดที่ครบถ้วนแก่การใช้งาน วันนี้ Aonic Thailand จะอธิบายถึงความแตกต่างระหว่างการสำรวจด้วยโดรนกับวิธีการแบบดั้งเดิม โดยจะเน้นให้เห็นถึงข้อดีและข้อเสียของแต่ละวิธี
ข้อดีของการ รังวัดที่ดิน ด้วยโดรน
ความแม่นยำสูง
ข้อได้เปรียบที่สำคัญอย่างหนึ่งของการสำรวจด้วยโดรนคือความสามารถในการเก็บข้อมูลที่มีความละเอียดและแม่นยำสูง ซึ่งแตกต่างจากเทคนิคการสำรวจแบบดั้งเดิมที่มักเกี่ยวข้องกับการวัดด้วยมือและอาศัยอุปกรณ์ภาคพื้นดินที่มีโอกาสเกิดความผิดพลาดได้ง่าย ในทางกลับกัน โดรนที่ติดตั้งเทคโนโลยี GNSS (ทำหน้าที่คล้าย GPS สำหรับระบุตำแหน่งพื้นที่) และเซ็นเซอร์ขั้นสูงสามารถจับข้อมูลด้วยระดับความแม่นยำแบบที่ไม่เคยมีมาก่อน ซึ่งช่วยในการลดข้อผิดพลาดและสามารถเพิ่มคุณภาพโดยรวมของการสำรวจได้
ประสิทธิภาพสูงด้วยเวลาอันสั้น
ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าการจัดการเวลาเป็นสิ่งสำคัญในทุกๆโครงการ และการสำรวจด้วยโดรนมีข้อได้เปรียบอย่างมากในแง่ของประสิทธิภาพการทำงานและการประหยัดเวลา วิธีการทำรังวัดแบบดั้งเดิมจำเป็นต้องลงมือไปไปสำรวจที่ดินด้วยตนเอง อาศัยการวัดด้วยมือซึ่งถือเป็นการประมวลผลข้อมูลที่ใช้เวลานาน อย่างไรก็ตามด้วยนวัตกรรมโดรนทำให้สามารถครอบคลุมพื้นที่ขนาดใหญ่ได้ในเวลาอันสั้น จับภาพทางอากาศหรือการสแกน LiDAR โดยที่อาศัยการใช้แรงงานน้อยที่สุด นอกจากนี้ยังสามารถประมวลผลข้อมูลที่รวบรวมโดยโดรนได้อย่างรวดเร็ว ทำให้สามารถตัดสินใจและดำเนินโครงการได้เร็วขึ้น
ความปลอดภัยและการเข้าถึง
การสำรวจด้วยโดรนถือเป็นทางเลือกที่ปลอดภัยกว่าวิธีการแบบเดิมที่ใช้ในการสำรวจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสภาพแวดล้อมที่อันตรายหรือยากต่อการเข้าถึง เพื่อหลีกเลี่ยงความเสี่ยงในการส่งนักสำรวจเข้าไปในยังพื้นที่อันตราย ปัจจุบันด้วยทางเลือกที่ปลอดภัยกว่า โดรนสามารถใช้เพื่อรวบรวมข้อมูลจากระยะไกลได้ ไม่ว่าจะเป็นการสำรวจหน้าผาสูงชัน การตรวจสอบโครงสร้างที่สูง หรือการประเมินพื้นที่ประสบภัยพิบัติ โดรนจึงถือเป็นทางเลือกที่ปลอดภัยกว่านั่นเอง
ลดค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน
แม้ว่าการลงทุนครั้งแรกในเทคโนโลยีโดรนมีราคาที่ค่อนข้างสูง แต่หากมองในแง่มุมของความคุ้มทุนในระยะยาวในการสำรวจด้วยโดรนนั้นถือเป็นสิ่งที่คุ้มค่า ด้วยวิธีการสำรวจแบบดั้งเดิมมักจะต้องใช้กำลังคนจำนวนมาก อุปกรณ์พิเศษ และการทำงานภาคสนามที่กว้างขวาง ในทางกลับกัน โดรนสามารถทำงานได้อย่างอิสระและอาศัยการใช้ทรัพยากรที่น้อย ซึ่งช่วยลดต้นทุนแรงงานและค่าใช้จ่ายยิบย่อยต่างๆ ยิ่งไปกว่านั้น โดรนยังสามารถครอบคลุมพื้นที่ขนาดใหญ่ได้ในเวลาที่สั้นลง ทำให้สามารถจัดสรรทรัพยากรได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ข้อเสียของการ รังวัดที่ดิน ด้วยโดรน
ข้อจำกัดของเที่ยวบินและอายุการใช้งานแบตเตอรี่
โดรนสำรวจนั้นถูกจำกัดด้วยความทนทานในการบิน เนื่องจากอายุการใช้งานแบตเตอรี่ โดยทั่วไปเวลาการบินโดยเฉลี่ยอยู่ที่ 30 ถึง 50 นาที ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับรุ่นของโดรน ซึ่งข้อจำกัดนี้อาจเป็นอุปสรรคต่อพื้นที่ครอบคลุมในแต่ละเที่ยวบินเดียว จึงทำให้ต้องใช้หลายเที่ยวบินในการสำรวจไซต์ขนาดใหญ่หรือซับซ้อน นอกจากนี้ ความจำเป็นในการชาร์จหรือเปลี่ยนแบตเตอรี่อาจทำให้กระบวนการสำรวจโดยรวมยาวนานขึ้น
การประมวลผลและวิเคราะห์ข้อมูล
ในขณะที่โดรนสามารถจับภาพข้อมูลจำนวนมหาศาลได้อย่างรวดเร็ว การประมวลผลและการวิเคราะห์ข้อมูลที่รวบรวมไว้อาจใช้เวลานาน ซึ่งต้องใช้ซอฟต์แวร์และความเชี่ยวชาญเฉพาะทางในการประมวลผลภาพถ่ายจากโดรนหรือการสแกน LiDAR สร้างแผนที่ที่แม่นยำ เพื่อดึงข้อมูลเชิงลึกที่มีความหมาย นอกเหนือไปจากนี้ความซับซ้อนของการประมวลผลข้อมูลจำเป็นต้องอาศัยผู้เชี่ยวชาญที่มีทักษะ หรือได้รับการฝึกอบรบ
ค่าอุปกรณ์และค่าฝึกอบรม
การลงทุนในเทคโนโลยีโดรนและอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้องอาจมีค่าใช้จ่ายสูง โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับโดรนและเซ็นเซอร์ระดับการสำรวจระดับสูง ซึ่งนอกจากนี้ ความเชี่ยวชาญในการใช้งานโดรนอย่างมีประสิทธิภาพเพื่อตีความข้อมูลที่รวบรวมได้นั้น จำเป็นต้องมีการฝึกอบรมและพัฒนาทักษะอย่างต่อเนื่อง
ความสามารถในการหลีกเลี่ยงสิ่งกีดขวางที่จำกัด
ในขณะที่โดรนติดตั้งเซ็นเซอร์หลีกเลี่ยงสิ่งกีดขวาง แต่ในโดรนบางรุ่นนั้นไม่สามารถป้องกันสภาพแวดล้อมที่ซับซ้อนได้ อาทิ สายไฟ หรือสิ่งกีดขวางอื่นๆ ซึ่งอาจสร้างความท้าทายและอาจส่งผลให้เกิดการชนหรือสร้างความเสียหายต่อโดรนได้ ผู้สำรวจต้องวางแผนการบินอย่างรอบคอบหรือดำเนินการตรวจสอบสถานที่อย่างละเอียดเพื่อลดความเสี่ยงของการเกิดอุบัติเหตุ
ข้อดีของการ รังวัดที่ดิน ด้วยวิธีดั้งเดิม
ประสบการณ์และความเชี่ยวชาญ
วิธีการรังวัดที่ดินแบบดั้งเดิมต้องอาศัยผู้เชี่ยวชาญที่มีประสบการณ์ความรู้เชิงลึกและเชี่ยวชาญในเทคนิคการรังวัด ซึ่งทักษะเหล่านี้ต้องอาศัยประสบการณ์การฝึกฝนมาหลายปี จึงจะมีความเชี่ยวชาญในการตีความและวิเคราะห์ข้อมูลเป็นอย่างดี ซึ่งความเชี่ยวชาญเหล่านี้สามารถช่วยให้พวกเขาตัดสินใจอย่างรอบรู้เพื่อให้เกิดผลการสำรวจที่ถูกต้อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสภาพแวดล้อมที่ซับซ้อนหรือท้าทาย
ความยืดหยุ่นและความสามารถในการปรับตัว
ด้วยวิธีการสำรวจแบบดั้งเดิมนั้นมีข้อดีในด้านของความสามารถในการปรับแผนการสำรวจให้เข้ากับความต้องการและข้อจำกัดเฉพาะของโครงการตามที่กำหนดได้อย่างง่าย ซึ่งความยืดหยุ่นนี้ช่วยให้สามารถแก้ไขปัญหาเฉพาะบุคคลได้มากขึ้นและผสมผสานเทคนิคพิเศษที่โดรนไม่สามารถลอกเลียนแบบได้ง่าย
การสังเกตภาคสนามโดยละเอียด
วิธีการสำรวจแบบดั้งเดิมมักเกี่ยวข้องกับผู้สำรวจที่เยี่ยมชมไซต์และทำการสังเกตภาคสนามโดยละเอียด ซึ่งอีกหนึ่งประโยชน์ของการเยี่ยมชมสถานที่เหล่านี้ช่วยให้นักสำรวจสามารถรวบรวมข้อมูลเพิ่มเติมนอกเหนือจากการวัดเท่านั้น เช่น ลักษณะทางภูมิประเทศ ลักษณะเฉพาะของภูมิประเทศ และรายละเอียดที่เกี่ยวข้องอื่นๆ ซึ่งโดรนอาจไม่สามารถจับภาพได้เพียงอย่างเดียว การทำความเข้าใจสถานที่อย่างรอบด้านจากการสังเกตการณ์โดยตรงสามารถนำไปสู่การสำรวจและทำรายงานที่ครอบคลุมและแม่นยำยิ่งขึ้น
การปฏิบัติตามกฎหมายและข้อบังคับ
วิธีการรังวัดที่ดินแบบดั้งเดิมได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางจากหน่วยงานรัฐ ซึ่งในหลายประเทศมีข้อกำหนดเฉพาะสำหรับขอบเขตทรัพย์สิน การแบ่งที่ดิน และการถือครองที่ดิน ซึ่งอาจจำเป็นต้องใช้เทคนิคการสำรวจแบบดั้งเดิมเพื่อให้เป็นไปตามข้อผูกพันทางกฎหมาย ในหลายประเทศนั้นการสำรวจแบบดั้งเดิมมีความสำคัญอย่างมาก ซึ่งการสำรวจโดยผู้สำรวจที่ได้รับใบอนุญาตจะมีน้ำหนักทางกฎหมายและสามารถใช้เป็นหลักฐานในข้อพิพาทเกี่ยวกับทรัพย์สินหรือเรื่องทางกฎหมายอื่นๆ
ข้อเสียของการ รังวัด ด้วยวิธีดั้งเดิม
ใช้เวลานานในการสำรวจ
วิธีการสำรวจที่ดินแบบดั้งเดิมมักเกี่ยวข้องกับการวัดด้วยมือและการทำงานภาคสนาม ซึ่งใช้เวลานาน ตั้งแต่ผู้สำรวจเยี่ยมชมสถานที่จริง ติดตั้งอุปกรณ์ ทำการวัด ตลอดจนถึงขั้นตอนการบันทึกข้อมูล กระบวนการโดยรวมนั้นอาศัยการใช้แรงงานจำนวนมากและอาจใช้เวลาหลายวันหรือหลายสัปดาห์จึงจะเสร็จสมบูรณ์ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับขนาดและความซับซ้อนของโครงการ
ความครอบคลุมที่จำกัดและการเข้าไม่ถึง
วิธีการสำรวจแบบดั้งเดิมอาจมีข้อจำกัดในการเข้าถึงพื้นที่บางแห่งหรือการเก็บข้อมูลสำหรับสถานที่ขนาดใหญ่หรือห่างไกล ในบางครั้งนักสำรวจอาจพบกับความท้าทายในการเข้าถึงพื้นที่ที่เข้าถึงได้ยากหรือเป็นอันตราย เช่น ป่าทึบ ทางลาดชัน หรือแหล่งน้ำ ซึ่งข้อจำกัดเหล่านี้อาจส่งผลให้ข้อมูลไม่สมบูรณ์หรือจำเป็นต้องมีการสำรวจเพิ่มเติมในภายหลัง
ข้อผิดพลาดของมนุษย์
เทคนิคการสำรวจที่ดินแบบดั้งเดิมอาศัยการวัดด้วยมือ ซึ่งมีแนวโน้มที่จะเกิดข้อผิดพลาดโดยผู้สำรวจได้ แม้ว่าจะมีนักสำรวจที่เชี่ยวชาญ แต่ก็ยังมีความเสี่ยงที่จะเกิดความไม่แม่นยำในการวัด การคำนวณ หรือการถอดความข้อมูล ซึ่งความผิดพลาดเหล่านี้อาจนำไปสู่ข้อผิดพลาดในการแบ่งขอบเขต การทำแผนที่ หรือความคลาดเคลื่อนในผลการสำรวจ ซึ่งอาจก่อให้เกิดข้อพิพาททางกฎหมายหรือความพ่ายแพ้ของโครงการ
ต้นทุนและการใช้ทรัพยากร
วิธีการสำรวจที่ดินแบบดั้งเดิมมักต้องการการลงทุนจำนวนมากในอุปกรณ์ เช่น กล้องสำรวจ สถานีรวม หรือระดับเลเซอร์ ซึ่งอาจมีค่าใช้จ่ายสูงในการซื้อและบำรุงรักษา ยิ่งไปกว่านั้น กระบวนการมักเกี่ยวข้องกับทีมสำรวจ ผู้ช่วยภาคสนาม และเจ้าหน้าที่สนับสนุน ทำให้ต้นทุนแรงงานเพิ่มขึ้น ความจำเป็นในการเยี่ยมชมภาคสนามซ้ำและระยะเวลาโครงการที่ขยายออกไปอาจส่งผลให้มีค่าใช้จ่ายสูงขึ้น
ท้ายที่สุดแล้วนั้น…
การรังด้วยโดรนถือเป็นนวัตกรรมใหม่ที่ได้รับการยอมรับกันอย่างแพร่หลายในนานาประเทศ แต่ถึงอย่างไรก็ตามการรังวัดด้วยวิธีการแบบดั้งเดิมนั้นก็ยังไม่ได้สูญหายไปแต่อย่างใด หากต้องเปรียบเทียบการรังวัดทั้ง 2 แบบ จะเห็นได้ว่าแต่ละวิธีต่างก็มีข้อดีและข้อเสียแตกต่างกันไป ดังนั้นการเลือกวิธีการใช้งานจึงจะต้องคำนึงถึงลักษณะการใช้งานในแต่ละโครงการ หรือปัจจัยอื่นๆเสริมนั่นเอง